วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

กำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้




.พุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
พฤติกรรม ด้านสมองเป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับสติปัญญา ความคิด ความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งพฤติกรรมทางพุทธิพิสัย  6 ระดับ ได้แก่
1.1 ความรู้ (Knowledge) เป็นความสามารถในการจดจำแนกประสบการณ์ต่างๆ และระลึกเรื่องราวนั้นๆ ออกมาได้ถูกต้องแม่นยำ
1.2 ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นความสามารถบ่งบอกใจความสำคัญของเรื่องราวโดยการแปลความหลัก ตีความได้ สรุปใจความสำคัญได้
1.3 การนำความรู้ไปประยุกต์ (Application) เป็นความสามารถในการนำหลักการ กฎเกณฑ์และวิธีดำเนินการต่างๆของเรื่องที่ได้รู้มา นำไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ได้
1.4 การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวที่สมบูรณ์ให้กระจายออกเป็นส่วนย่อยๆ ได้อย่างชัดเจน
1.5 การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเรื่องราวเดียวกัน
โดยปรับปรุงของเก่าให้ดีขึ้นและมีคุณภาพสูงขึ้น
1.6 การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการวินิจฉัยหรือตัดสินกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป
การประเมินเกี่ยวข้องกับการใช้เกณฑ์คือ มาตรฐานในการวัดที่กำหนดไว้ 
2. จิตพิสัย (Affective Domain) (พฤติกรรมด้านจิตใจ)
ค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจและคุณธรรม พฤติกรรมด้านนี้อาจไม่เกิดขึ้นทันที ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และสอดแทรกสิ่งที่ดีงามอยู่ตลอดเวลา จะทำให้พฤติกรรมของผู้เรียนเปลี่ยนไปในแนวทางที่พึงประสงค์ได้ จะประกอบด้วย พฤติกรรมย่อยๆ
5 ระดับ ได้แก่
1.การรับรู้
2.การตอบสนอง
3.การเกิดค่านิยม
4.การจัดระบบ
5.บุคลิกภาพ
3.ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) (พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท)
     พฤติกรรมที่บ่งถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ ซึ่งแสดงออกมาได้โดยตรงโดยมีเวลาและคุณภาพของงานเป็นตัวชี้ระดับของทักษะ ประกอบด้วย 5 ขั้น ดังนี้
1.การรับรู้
2.กระทำตามแบบ
3.การหาความถูกต้อง
4.การกระทำอย่างต่อเนื่องหลังจากตัดสินใจ
5. การกระทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ

จากทฤษฎีดังกล่าวคือผู้เรียนทุกคนนั้นต้องมีพื้นฐานในการเรียนรู้ทุกคน  แต่อาจจะไม่เท่ากันเพราะคนเรามีการเรียนรู้ที่ต่างกัน  บางคนพบเจอสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นก็จะมีความรู้ความเข้าใจที่ต่างจากคนอื่น
แต่ถ้าผู้เรียนมีพื้นฐานในการเรียนรู้คล้ายๆกันมีความรู้ ความเข้าใจ มีการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์คล้ายๆ กัน  ผลการเรียนรู้ของคนกลุ่มนี้ก็จะคล้ายกันด้วย
การที่ผู้เรียนจะเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้เรียนจะต้องมีความกระตือรือร้นตลอดเวลา  ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เราจะเรียนรู้  เมื่อมีความเข้าใจแล้วต้องวิเคราะห์ให้ได้ก่อนจากนั้นถึงจะประเมินค่า จากทฤษฎีดังกล่าวกล่าวว่ามนุษย์จะเกิดการเรียนรู้ใน 3 ด้านคือ ด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย และด้านจิตใจ  ทุกสิ่งนี้ต้องดำเนินไปอย่างพร้อมๆกัน  ถึงจะเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
การปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม


การปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม

แอนเดอร์สัน และแครอทโฮล (2001)  ได้ปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม (Blooms’ Taxonomy revise)      ดังตาราง


New Version (Blooms’ Taxonomy 2001)
Old Version (Blooms’ Taxonomy 1956)
สร้างสรรค์-Creating
ประเมิน-Evaluating
การประเมิน-Evaluation
การสังเคราะห์-Synthesis
วิเคราะห์-Analysing
วิเคราะห์-Analysis
ประยุกต์-Applying
การนำไปใช้-Application
ความเข้าใจ-Understanding
ความเข้าใจ-Comprehension
ความจำ-Remembering
ความรู้-Knowledge

ตารางการเปรียบเทียบ Blooms’ Taxonomy 1956 และ 2001
            
          Bloom (1956) ใช้คำนามในการอธิบายความรู้ประเภทต่างๆ ในฉบับปรับปรุง ปี 2001 ใช้คำกริยาและปรับเปลี่ยนคำว่าความรู้ (knowledge) เป็น ความจำ (remember) เมื่อนำเขียนจดหมายการศึกษาของหลักสูตรที่อิงมาตรฐาน (standards-based curriculum) จะเขียนได้ว่า ผู้เรียนควรรู้และทำอะไรได้ (เป็นกริยา) และได้จากความรู้เป็น 4 ประเภทได้ แก่ ข้อเท็จจริง (factual) มโนทัศน์ (concept) กระบวนการ (procedural)และอภิปัญญา (meta-cognition) และมีการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมหลักในกรอบเดิม 2 ขั้น คือ ขั้นความเข้าใจ (comprehension) เปลี่ยนเป็น เข้าใจความหมาย (understand)และขั้นการประเมิน (evaluation) เป็น สร้างสรรค์ (create)
           การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษา (Revised's Bloom Taxonomy) ที่กล่าวถึงมิติ ทางการเรียนรู้ของ Bloom และคณะ (1956) ซึ่งแอนเดอร์สันและแครธโธล (Anderson 82 Krathwohl, 2001)ได้กล่าวถึงรายละเอียดของพฤติกรรมผู้เรียนและผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcome) โดยจําแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) มิติด้านกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Dimension Process) และ 2) มิติด้านความรู้ (Knowledge Dimension) มิติด้านกระบวนการทางปัญญา ได้แก่ การจํา (remembering) เรียกความรู้จากหน่วยความจําระยะ ยาว ความเข้าใจ (Understanding) ศึกษาความหมายจากข้อมูลที่เรียนรู้ รวมถึงการพูด การเขียนและการสื่อสาร ด้วยรูปร่าง ประยุกต์ใช้ (Applying) ประยุกต์ขั้นตอน กระบวนการในงานที่คุ้นเคย วิเคราะห์ (Analyzing) จําแนกองค์ประกอบและหาความสัมพันธ์เพื่อกําหนดโครงสร้างหรือเป้าหมายใหม่ ประเมิน (Evaluating) ตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์และมาตรฐาน และสร้างสรรค์ (Creating) จัดองค์ประกอบหรือหน้าที่ให้ เชื่อมโยงกันไปสู่รูปแบบหรือโครงสร้างใหม่
          มิติด้านความรู้ จําแนกระดับความรู้เป็น 4 ระดับ ได้แก่ 
1) ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง (Factual Knowledge)พื้นฐานของผู้เรียนต้องรู้จักหลักการหรือวิธีการแก้ปัญหา 
2) ความรู้ที่เป็นมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge)ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบพื้นฐานในโครงสร้างทั้งหมดที่จะทําให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ 
3) ความรู้ในการดําเนินการ ( Procedural Knowledge ) วิธีการสืบค้นและเกณฑ์ในการใช้ทักษะ เทคนิควิธีการ เพื่อดําเนินการ
4) ความรู้อภิปัญญา (Metacognitive Knowledge ) ความรู้จากการรับรู้และความเข้าใจใน ตนเอง การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษานี้ ได้กล่าวถึงอภิปัญญา (Meta cognitive Knowledge) เป็น มิติหนึ่งของความรู้ คือ การมีความรู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับความรู้ทางปัญญาโดยทั่วไป รู้ถึง ความรู้ในตนเอง ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษานี้มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ระดับอภิปัญญา (Meta cognitive knowledge) ตระหนักรู้ในตนเอง (meta awareness) การไตร่ตรอง ย้อนคิดในตนเอง (Self - reflect) และการ กํากับดูแลตนเอง (Self-regulation)

เขียนตารางแสดงความสัมพันธ์ของมิติด้านกระบวนการทางปัญญา (Cognitive Dimension Process)และ 2) มิติด้านความรู้ (Knowledge Dimension) ได้ดังนี้

ตาราง ความสัมพันธ์ของมิติด้านกระบวนการทางปัญญา กับ มิติด้านความรู้




https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhoILuhMf_5sD4Vd-Hzggvtey1VXshEF1yWVDYL4gDtmx0kEsRh0x6TLo_E6gkQVPgrk1K7R8-cRgol6rXPd4kKp-0u8WnlLsG67XXkloaFjizgkK7UIHNvzdmOwwQWduEKCEx1NMR947E/s640/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3.png

      
Anderson & Krathwohl (2001) นําเสนอรูปแบบของอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ความรู้ทาง ปัญญา (Knowledge of Cognition) และกระบวนการในการดูแล ควบคุมกํากับติดตามตนเอง โดยแบ่งเป็น อภิปัญญาในความรู้ (Meta cognitive knowledge) และอภิปัญญาในการควบคุมตนเอง (Meta Cognitive Control)และความรู้เกี่ยวกับอภิปัญญาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 



         1. ความรู้ในกลยุทธ์วิธีการเรียนรู้ (Strategic knowledge) คือ ความรู้ในกลยุทธ์ยุทธวิธี การเรียนรู้ การคิดการแก้ไขปัญหาในทุกกลุ่มวิชา 
         2. ความรู้ในการ เลือกใช้กลยุทธ์และวิธีการเรียนรู้ (Knowledge about Cognitive tasks) คือ การเลือกกลยุทธ์ ยุทธวิธี ที่เหมาะสมกับภาระงานชิ้นงาน หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในสภาพที่แตกต่างกัน 
         3. การรู้ในตนเอง (SelfKnowledge ) คือ การรู้ถึงความรู้ ความสามารถของตน การประเมินตนเองทั้งจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนา และ ควรพัฒนาตนเองอย่างไรเพื่อให้บรรลุภาระงานชิ้นหรือมีความรู้ที่เพียงพอในการ แก้ไขปัญหานั้นๆ
 

เพิ่มเติม  ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม

เบนจามิน บลูมและคณะ (Bloom et al, 1956) ได้จำแนกจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ออกเป็น 3 ด้าน  คือ
1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
2. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
3. ด้านเจตพิสัย (Affective Domain)
จุดมุ่งหมายการศึกษาของมาร์ซาโน

จุดมุ่งหมายการศึกษาของมาร์ซาโน

         Marzano    นักวิจัยทางการศึกษาที่มีชื่อเสียง เสนอสิ่งที่เขาเรียกว่า วัตถุประสงค์ทางการศึกษาใหม่ (2000) โดยพัฒนาจากข้อจำกัดของวัตถุประสงค์ของบลูมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และตามสภาพแวดล้อมของการสอนที่อิงมาตรฐาน (standard-based  instruction) รูปแบบทักษะการคิดของมาร์ซาโนผนวกปัจจัยที่ กว้างขึ้นซึ่งส่งผลกระทบว่านักเรียนคิดอย่างไรและจัดเตรียมทฤษฏีที่อิงงาน วิจัยมากขึ้นเพื่อช่วยครูปรับปรุงการคิดของนักเรียน 

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj35UTkRfiUvI8RZAvfWQjyXdcXxJSktmBoMG03c9XxljH6gE16ZfsvtJX8pgUpadkNT-Q-mqcv8HXix5-Z-aoAVU6P8yOHfASDKCUIoHG3AuC4mlonmlzRQ8djv9P4SnqAe_U9NbdHP0E/s400/marzano_robert_11.jpg

          Marzano & Kendall, (2007) ได้พัฒนาการจัดกลุ่มพฤติกรรมการเรียนรู้ขึ้นใหม่ แบ่งเป็น 1) ระบบ ปัญญา (Cognitive System) 2) ระบบอภิปัญญา (Meta cognitive System) และ 3)ระบบตนเอง (Self System และได้จําแนกอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเป็น 6 ขั้น
          ขั้นที่ 1 การดึงกลับคืนมา (Retrieval) ได้แก่ การระบุข้อความได้ (Recognizing) การระล (Recalling) และลงมือปฏิบัติได้ (Executing)
          ขั้นที่ 2 ความเข้าใจ (Comprehension) ได้แก่ การบรณาการ (Integration) และการทําให้เป็น สัญลักษณ์ (Symbolizing)
          ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์ (Analysis) ได้แก่ การจับคู่ได้ (Matching) แยกประเภทได้ (Classifying) วิเคราะห์ ความผิดพลาดได้ (Analyzing Error) ติดตามได้ (Generalizing) และชี้ให้จําเพาะเจาะจงได้ (Specifying)
          ขั้นที่ 4 การนําความรู้ไปใช้ (Knowledge Utilizing) ได้แก่ การตัดสินใจ (Decision Making) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทดลองปฏิบัติ (Experimenting) และการสืบค้นต่อไปให้เกิดความเข้าใจ ที่ลึกซึ้ง (Investigating)
          ขั้นที่ 5 อภิปัญญา (Meta-cognition) ได้แก่ การระบุจุดหมาย (Specifying Goals) การกํากับติดตาม กระบวนการ (Process Monitoring) การทําให้เกิดความชัดเจนในการกํากับติดตาม (Monitoring Clarity) และ การกํากับติดตามตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring Accuracy)
          ขั้นที่ 6 การมีระบบความคิดของตนเอง (Self-System thinking) ได้แก่ การตรวจสอบประสิทธิภาพ(Examining Efficacy) การตรวจสอบการตอบสนองทางอารมณ์ (Examining Emotional Response) และการตรวจสอบแรงจูงใจ (Examining Motivation)
 Marzano, (2000) ได้นำเสนอมิติใหม่ทางการศึกษา ดังนี้

ตารางมิติใหม่ทางการศึกษาระบบตนเอง
ระบบตนเอง (Self-System)
ความเชื่อเกี่ยวกับความสำคัญของความรู้ (Beliefs About theImportance of Knowledge)
ความเชื่อเกี่ยวกับประสิทธิภาพ(Beliefs About Efficacy)
อารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวพันกับ ความรู้ (Emotions Associated with Knowledge )

ตารางมิติใหม่ทางการศึกษา ระบบอภิปัญญา
ระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive System)
การบ่งชี้จุดหมาย(Specifying LearningGoals)
การเฝ้าระวังในกระบวนการ /การนำความรู้ไปใช้ (Monitoring the Execution Knowledge)
การทำให้เกิดความชัดเจน(Monitoring Clarity)
การตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring Accuracy)

ตารางมิติใหม่ทางการศึกษา ระบบปัญญา
ระบบปัญญา (Cognitive System )
การเรียกใช้ความรู้
(Knowledge Retrieval)
ความเข้าใจ
(Comprehension)
การวิเคราะห์
(Analysis)
การนำความรู้ไปใช้
(Knowledge Utilizing)
การระลึกได้ (Recalling) การลงมือปฏิบัติได้ (Executing)
การสังเคราะห์ (Synthesis) การกกำหนดสัญลักษณ์/การเป็นตัวแทน (Representation)
การจับคู่ได้ (Matching)แยกประเภทได้(Classifying) วิเคราะห์ความผิดพลาดได้(Analyzing Error) การกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป(Generalizing)  การกำหนดเฉพาะเจาะจงได้(Specifying)
การตัดสินใจ (Decision Making) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทดลองปฏิบัติ (Experimenting) การสืบค้นต่อไปให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง (Investigating)
ขอบเขตความรู้ (Knowledge Domain)
ข้อมูล
(Information)
ขั้นตอนคิดวิธีการดำเนินการ
(Mental Procedures)
ขั้นตอนการลงมือทำ
(Physical Procedures)
3) การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในการส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้
4) ให้คำแนะนำ ใช้คำถามและมโนทัศน์ล่วงหน้า(Cues, Questions and Advance Organizes)
คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถจดจำใช้และจัดการกับความที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา
5) การแสดงออกโดยภาษากาย (Nonlinguistic Representations)
คือ การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถนำเสนอและให้รายละเอียดในการแสดงถึงความรู้
6) สรุปความและจดบันทึก (Summarizing and Note taking)
หมายถึง การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและจัดการกับข้อมูลโดยการสรุปสาระสำคัญ และข้อมูล
สนับสนุน
7) มอบหมายงานและให้ปฏิบัติ (Assigning Homework and Providing)
หมายถึง การให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติทบทวนและประยุกต์ใช้ความรู้ การสร้างเสริมให้นักเรียนได้เข้าถึงระดับของความเชี่ยวชาญในทักษะหรือกระบวนการที่คาดหวัง
8) ระบุความเหมือนความแตกต่าง (Identifying Similarities and Differences)
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้ กระบวนการทางปัญญาในการระบุหรือ จำแนกสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง
9) สร้างและทดสอบสมมติฐาน
(Generating and testing Hypotheses)
หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมนักเรียนเข้าใจและ สามารถใช้ความรู้และกระบวนการทางปัญญาในการสร้าง และทดสอบสมมติฐาน








            Marzano, R., & Kendall, J.( 2001) นำเสนอระบบอภิปัญญา (Meta cognitive System) เป็นระบบที่ มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self - Directed Learning) ที่มุ่งให้ผู้เรียนควบคุม กำกับ ดูแล การปฏิบัติภาระงานชิ้นงาน ตามเป้าหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การติดตามดูแลปรับปรุง ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ วิธีการต่าง ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสมให้ภาระงานชิ้นงาน นั้นลุล่วงตามภารกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ครู แนวคิดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในด้าน cognitive domain ตามที่มาร์ซาร์โน (Marzano Taxonomy) ได้นำเสนอไว้เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ Blooms Taxonomy และ Marzano Taxonomy ได้ดังนี้


ตารางการเปรียบเทียบ Blooms Taxonomy และ Marzano Taxonomy
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9xm2YCNuWFhHDRyTeqBRliGU4Z1QRcd-ecpSjoZRyHzoxJxX88Su7-mcy8hHdVEstXTMUNVOD9Z2xgeb1EYf4JRoQwbw_5e-Ibu_fPDFuwUd9ccB0ycm21UPqIP4Sp_jm8jlsFoXupms/s640/2%255B1%255D.jpg

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjQAvjKIK5L-qR60bWP9b6eOojxz3t0x4K5ECHRfStbSL6zbfWxVVcFVcO8jtg3R4FyKaubEQmkghoHzsuhV9w0ElczpBy7TCePvpW-9VgimKppaMsPhUPaMUyZ1bGMK5pBZrf49U2HAU/s640/3%255B1%255D.jpg

            จากตารางเปรียบเทียบสรุปว่า วัตถุประสงค์การเรียนรู้ตาม Bloom Taxonomy ด้าน cognitive domain นั้น Marzano Taxonomy เรียกว่า cognitive system อีกสองระบบที่เพิ่มขึ้นไม่พบใน Bloom Taxonomy คือ Meta-cognitive system และ sell system) มาร์ซาโน ได้อ้างถึง แนวคิดของ Sternberg (Marzano, 1998: 54 - 37) กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของระบบอภิปัญญาที่ใช้ในการจัดการตนเอง (organizing) การกำกับติดตาม (Monitoring) การประเมิน (Evaluating) และการควบคุม(regulating) ซึ่งองค์ประกอบของการรู้คิดแบ่ง ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ มาร์ซาโน กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของระบบอภิปัญญาที่ใช้ในการจัดการตนเอง (organizing) การกำกับติดตาม (Monitoring) การประเมิน (Evaluating) และการควบคุม (regulating) โดยแบ่ง ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
            1. การระบุจุดหมายเฉพาะเจาะจง (Goal specification) คือ การกำหนดจุดหมายของชิ้นงาน (the job of the goal) ที่ผู้เรียนตัดสินใจเลือกปฏิบัติ โดยมีการกำหนดผลสำเร็จของงานในแต่ละขั้น
            2. การระบุกระบวนการที่ชัดเจน (Process specification) คือ การกำหนดความรู้ ทักษะหรือ กลวิธี ขั้นตอนกระบวนการเพื่อการบรรลุจุดหมายของชิ้นงานอย่างเหมาะสม
            3. การกำกับดูแลกระบวนการ (Process monitoring) คือ การติดตามควบคุมแต่ละกระบวนการแต่ละขั้นตอนในการนำทักษะ กลวิธีไปใช้สร้างสรรค์งานชิ้นงานอย่างมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพโดยใช้เวลาและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
            4. การกำกับดูแลการปฏิบัติของตน (Disposition monitoring) คือ เป็นคน ปฏิบัติงานที่เหมาะสม เพื่อให้งานเกิดประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ เช่น การให้ความสำคัญกับงานมุ่งเน้น ผลผลิตที่มีความถูกต้อง แม่นยำ ความเป็นระบบ มีแรงจูงใจในการทำงาน มีส่วนร่วมในการทำงาน ฯลฯ
            แนวคิดเกี่ยวกับระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive system) ของ Marzano กล่าวสรุปองค์ประกอบ การเรียนรู้ของระบบอภิปัญญาได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 1) การกำหนดจุดหมายของการเรียนรู้ (Specifying Learning Goals) 2) การกำกับติดตามการปฏิบัติของกระบวนการทางปัญญา (Monitoring the Execution of Knowledge)  3) การดูแลติดตามความชัดเจน (Monitoring Clarity) และ 4) การกำกับติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring Accuracy)
            แนวคิดการกำหนดวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานของกระบวนการคิดร่วมกับปัจจัยที่ ส่งผลต่อการคิดของผู้เรียน ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษาที่มาร์ซาโน (Marzano) พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 ระบบ ได้แก่ 1) Self – System คือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในตนเองในการปฏิบัติภาระงานชิ้นงานด้วยความ เต็มใจตั้งใจมีความสุข และมีความมุ่งหวังให้งานเกิดความสำเร็จ 2) Meta-cognitive System คือ ระบบการ ควบคุมตนเองให้ปฏิบัติภาระงานชิ้นงาน ที่เกิดขึ้นให้บรรลุผล ด้วยการการกำหนดจุดหมายของการเรียนรู้ (Specifying Learning Goals) การดูแลติดตามการปฏิบัติของกระบวนการทางปัญญา (Monitoring the Execution of Knowledge) การดูแลติดตามความชัดเจน (Clarity) และการดูแลติดตามให้เกิดความถูกต้อง (Monitoring Accuracy) และ 3) Cognitive System คือ กระบวนการทางปัญญา (Mental Process) ที่จะปฏิบัติ ภาระงานชิ้นงานสำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่งระบบอภิปัญญา (Meta-cognitive System) ถือเป็นระบบที่มุ่งสร้างให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self - Directed Learning) ที่มุ่งให้ผู้เรียนควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติ ภาระงานชิ้นงาน ตามจุดหมายที่กำหนด รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ ยุทธวิธีและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการติดตามดูแลปรับปรุงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการต่างๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสมให้ภาระงาน ชิ้นงานนั้นลุล่วงตามภารกิจ ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สอน

เพิ่มเติม
  แนวคิด MARZANO

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTUOr3CvGTBA8Si73mWnIW40IH0aBKfRr7qISxwcJgIGP5hV4iWtnTUnGT2SxmApLAtP8LZEzOcNunnHDN7tlg6sDl_awX_o0Q4-YWjlium-wBg0xfHw4Q9i-vrWsUYjc8BAfdcq_08ag/s640/masano.jpg


มาร์ซาโน (MARZANO. 2001 : 30 – 58) ได้พัฒนารูปแบบจุดมุ่งหมายทางการศึกษารูปแบบใหม่ (A New Taxonomy of education objectives) ประกอบด้วยความรู้ 3 ประเภท และกระบวนการจัดกระทำกับข้อมูล 6 ระดับ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ข้อมูล เน้นการจัดระบบความคิดเห็นจากข้อมูลง่ายสู่ข้อมูลยาก เป็นระดับความคิดรวบยอด ข้อเท็จจริง ลำดับของเหตุการณ์ สมเหตุสมผล เฉพาะเรื่อง และหลักการ
2. กระบวนการ เน้นกระบวนการเพื่อการเรียนรู้ จากทักษะสู่กระบวนการอัตโนมัติ อันเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถที่สั่งสมไว้
3. ทักษะเน้นการเรียนรู้ที่ใช้ระบบโครงสร้างกล้ามเนื้อ จากทักษะง่าย สู่กระบวนการที่ซับซ้อนขึ้น โดยมีกระบวนการจัดกระทำกับข้อมูล 6 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 ขั้นรวบรวม เป็นการคิดทบทวนความรู้เดิม รับข้อมูลใหม่ และเก็บเป็นคลังข้อมูลไว้ เป็นการถ่ายโยงความรู้จากความจาถาวรสู่ความจำ  นำไปใช้ในการปฏิบัติการโดย ไม่จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างความรู้นั้น
ระดับที่ 2 ขั้นเข้าใจ เป็นการเข้าใจสาระที่เรียนรู้ สู่การเรียนรู้ใหม่ในรูปแบบการใช้สัญลักษณ์ เป็นการสังเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานของความรู้นั้นโดยเข้าใจประเด็น ความสำคัญ
ระดับที่ 3 ขั้นวิเคราะห์ เป็นการจำแนกความเหมือนและความต่างอย่างมี หลักการการจัดหมวดหมู่ ที่สัมพันธ์กับความรู้ การสรุปอย่างสมเหตุสมผลโดยสามารถบ่งชี้ ข้อผิดพลาดได้ การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่โดยใช้ฐานความรู้ และการคาดการณ์ผลที่ ตามมาบนพื้นฐานของข้อมูล
ระดับที่ 4 ขั้นใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ เป็นการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่มีคาตอบชัดเจน การแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยาก การอธิบายปรากฏการณ์ที่แตกต่าง และการพิจารณาหลักฐานสู่การสรุปการณ์ที่มีความซับซ้อน การตั้งข้อสมมติฐานและการทดสอบสมมติฐานนั้น บนพื้นฐานของความรู้
ระดับที่ 5 ขั้นบูรณาการความรู้ เป็นการจัดระบบความคิดเพื่อบรรลุเป้าหมาย การเรียนรู้ที่กำหนด การกำกับติดตามการเรียนรู้ และการจัดขอบเขตการเรียนรู้
ระดับที่ 6 ขั้นจัดระบบแห่งตน เป็นการสร้างระดับแรงจูงใจต่อสภาวการณ์เรียนรู้ และภาระงานที่ได้รับมอบหมายในการเรียนรู้ รวมทั้งความตระหนักในความสามารถของการเรียนรู้ที่ตนมี ดังปรากฏตามภาพด้านบน

การกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน

เพิ่มเติม ความหมายและความสำคัญของจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน
ความหมายของจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน
          จุดมุ่งหมายการเรียนการสอน คือ ข้อความที่ระบุคุณลักษณะการเรียนรู้และความสามารถที่ครูต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน หลังจากที่นักเรียนได้ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่อง หรือบทหนึ่งๆแล้ว
ความสำคัญของจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน
          จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ เป็นจุดหมายปลายทางของการเรียนการสอนที่ได้แนวทางมาจากความคิดรวบยอดการเรียนการสอน ดังนั้นจุดประสงค์การเรียนการสอนจึงมีความสำคัญต่อการจัดการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมาย มี 2 ลักษณะ คือ
          จุดมุ่งหมาย(goals) ที่มีลักษณะกว้าง ๆ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่ไม่สามารถวัด หรือสังเกตได้ทันที
          จุดมุ่งหมายที่มีลักษณะเฉพาะ สังเกตเห็นพฤติกรรมหรือการปฏิบัติของผู้เรียนได้ บางครั้งเรียกว่า จุดประสงค์การเรียนรู้ (performance objective) จําแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ จุดประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพ (potential performance) จุดประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ (typical performance)
          การเขียนจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจนสื่อความหมายให้เข้าใจนัยเพียงหนึ่งเดียว
          การระบุสมรรถภาพให้ชัดเจน ควรได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรียนรู้จบรายวิชาแล้วมีความสามารถที่จะทําอะไรได้ โดยที่เอก่อนเรียนรู้รายวิชานั้น ๆ ยังไม่สามารถทําได้
          การเชื่อมโยงอดีตกับอนาคต ถ้าเป็นไปได้เน้นย้ำมโนทัศน์จากชั้นเรียนที่ผ่านมา พยายามเชื่อมโยง ให้เห็นความสัมพันธ์กับมโนทัศน์ที่จะเรียนในอนาคต
          จุดมุ่งหมายกับการทดสอบ ถ้าเราเขียนจุดมุ่งหมายได้ชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหาจะทําให้สร้าง แบบทดสอบได้ง่าย ยังสามารถกําหนดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะให้ได้เป็นอย่างดี

การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก AIICI)
          A แทน Audience หมายถึง ผู้เรียนที่แสดงพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายและกำหนดเวลา
          B แทนBelarion หมายถึง พฤติกรรมที่คาดหวังจากผู้เรียน โดยเน้นพฤติกรรมที่สังเกตได้
          แทน Conditions หมายถึง สภาพการณ์หรือเงื่อนไขที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมที่สามารถวัดได้
          แทน Degree หมายถึง ระดับหรือเกณฑ์การวัดที่กําหนดขึ้นมาให้ผู้เรียนปฏิบัติ

การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก SMART
          1. S -Sensible & Specific จุดมุ่งหมายต้องเฉพาะเจาะจงชัดเจน จุดมุ่งหมายการเรียนการสอนที่ดี ต้องมีความเป็นไปได้และชี้เฉพาะ
          2. M - Measurable จุดมุ่งหมายต้องสามารถวัดผลได้ ซึ่งช่วยให้ได้ข้อมูลว่าผลการดําเนินการ เป็นอย่างไร ประสบความสําเร็จหรือไม่
          3. A - Atainable & Asignable จุดมุ่งหมายต้องเป็นไปได้ และผู้เรียนหรือผู้ปฏิบัตินําไปปฏิบัติ ได้หรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามจุดมุ่งหมายที่กําหนดไว้
          4. R - Reasonable & Realistic จุดมุ่งหมายต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลกันและเป็นไปได้จริง
          5. T - Time Available จุดมุ่งหมายต้องมีกําหนดเวลา เป็นไปได้ตามเวลา เมื่อเวลาเปลี่ยนไปหรือ สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ จุดมุ่งหมายก็ควรเปลี่ยนไปด้วย
จุดมุ่งหมายการศึกษาอิงมาตรฐาน

          Harris and Carr (1996 รุ่งนภา นุตราวงศ์ผู้แปล 2545 : 14-16) ให้คําจํากัดความของมาตรฐาน เนื้อหา(content standard) และมาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน (student performance standards) ดังนี้
มาตรฐานเนื้อหา (content standard) ระบุองค์ความรู้ที่สําคัญ ทักษะและพัฒนาการด้านจิตใจ ดังนี้
          1. องค์ความรู้ที่สําคัญ (essential knowledge) ระบุถึง แนวความคิด ประเด็นปัญหา ทางเลือก กฎเกณฑ์ และความคิดรวบยอดในวิทยาการต่าง ๆ ที่สําคัญ ตัวอย่างเช่น
         - ผู้เรียนสามารถอธิบายช่วงเวลา และเหตุการณ์สําคัญในประวัติศาสตร์ และวิเคราะห์ช่วงเวลา การเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น ชุมชน ในประทศและในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก
         - ผู้เรียนสามารถเข้าใจประวัติความเป็นมา และโครงสร้างของภาษาอังกฤษ (ประโยค ย่อหน้าบทความ)  
         - ผู้เรียนสามารถเข้าใจธรรมชาติและการทํางานของเซลล์ ทั้งการทํางานเป็นเอกเทศและการ ทํางานร่วมกันเป็นระบบที่ซับซ้อน 
          2. ทักษะ (Skills) เป็นวิธีการคิด การทํางาน การสื่อสาร และการศึกษาสํารวจ ตัวอย่าง
          - ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการบรรยาย และอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
          - ใช้ระเบียบวิธีการทางสถิติในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตีความ เปรียบเทียบ และสรุปผล เกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในสังคม
          3. พัฒนาการด้านจิตใจ (Habits of mind) การเรียนรู้และประสบการณ์จากการศึกษาทั้งใน โรงเรียนและนอกโรงเรียน มีผลต่อพัฒนาการด้านจิตใตของผู้เรียน รวมถึงกระบวนการในการศึกษาค้นคว้า การแสดงข้อมูล หลักฐานสนับสนุนความคิด การอภิปรายโต้แย้ง และความพึงพอใจในการทํางานร่วมกับผู้อื่น ตัวอย่าง
          - ผู้เรียนสามารถประเมินการเรียนรู้ของตนเอง โดยการสร้างเกณฑ์เพื่อใช้ประเมินงานที่มีคุณภาพ
          - ผู้เรียนสามารถแสดงออกถึงความสามารถในการทํางานร่วมกับผู้อื่น การเป็นผู้นํา และความมั่นคงในตนเอง
มาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน
          มาตรฐานการปฏิบัติ (student performance standards) จะบอกถึงคุณภาพ โดยที่มาตรฐานเนื้อหาจะ ระบุถึงสิ่งใดที่ผู้เรียนควรรู้ และทักษะใดที่ผู้เรียนควรทําได้ มาตรฐานการปฏิบัติจะบอกถึงระดับคุณภาพและ ระดับที่ผู้เรียนต้องรู้หรือต้องทําสิ่งนั้นได้ ตัวอย่าง
กรณีที่มาตรฐานเนื้อหาระบุว่า ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจข้อมูลจากสื่อ ภาพ และบทอ่านจากสื่อต่าง ๆ อย่างหลากหลาย
          มาตรฐานการปฏิบัติ อาจจะระบุว่า ผู้เรียนควรอ่านหนังสืออย่างน้อยที่สุด 25 เล่ม ต่อปี เลือกอ่าน บทอ่านที่มีคุณภาพทั้งที่เป็นเรื่องอมตะ และเรื่องราวที่ทันสมัย จากหนังสือวรรณกรรมสําหรับเด็ก หรือจาก แหล่งข้อมูลอื่น ๆ เช่น จาก นิตยสาร หนังสือพิมพ์ หนังสือเรียน และสื่อเทคโนโลยี
Wiggins (1994) จัดกลุ่มมาตรฐานการเรียนรู้ไว้กลุ่ม คือ
          1. มาตรฐานผลลัพธ์หรือผลกระทบ (Impact) เป็นมาตรฐานที่ระบุผลที่ต้องการจากการ ปฏิบัติงานใดงานหนึ่งของผู้เรียน เช่น กําหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์เพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อ ผู้ฟัง หรือให้ผู้เรียนเขียนสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือให้ผู้เรียนใช้ความรู้ ทางภูมิศาสตร์ในการวางแผนอนาคต เป็นต้น
          2. มาตรฐานกระบวนการ (Process) เป็นมาตรฐานที่สะท้อนยุทธวิธี เทคนิควิธีการ ใช้ในการปฏิบัติงาน เช่น มาตรฐานที่กําหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์อย่างชัดเจน หรือใน สื่อสารได้อย่างสละสลวยสัมพันธ์กัน หรือให้ผู้เรียนใช้กระบวนการที่เหมาะสมในการสร้างหอ กฎเกณฑ์
          3. มาตรฐานเนื้อหา (content) เป็น มาตรฐานที่ระบุเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด และข้อมูลต่าง ๆ เช่น    ผู้เรียนรู้สมบัติของสสาร มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการผลิต การจําหน่าย ต้องการของตลาด เป็นต้น
          4.มาตรฐานที่แสดงกฎหรือรูปแบบ (Rule or form) เป็นมาตรฐานที่เกี่ยวกับสูตร กฎเกณฑ์ซึ่งมี รูปแบบเฉพาะ ปริมาตร ปริมาณ อัตราส่วน ตัวอย่าง ผู้เรียนสร้างกราฟ ซึ่งมีข้อมูลกํากับและใช้สีได้อย่าง ถูกต้อง มาตรฐานนี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ให้ผู้เรียนใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสาร ต่าง ๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ

           การกําหนดมาตรฐานในหน่วยการเรียนให้มาจากหลายมาตรฐาน จึงจะช่วยให้กิจกรรมการเรียน การสอนและการประเมินมีความครอบคลุมยิ่งขึ้น การกําหนดมาตรฐานที่เป็นกระบวนการก็จะไม่มี ความหมายหากไม่มีเนื้อหา หรือการกําหนดมาตรฐานที่เน้นเนื้อหาเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ประโยชน์แก่ ผู้เรียนเท่าที่ควร หากไม่มีการนํากระบวนการนําไปปรับใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
การวางแผนจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้

Joyce and Weil, (1996 : 334) อ้างว่า มีงานวิจัยจํานวนไม่น้อยที่ชี้ให้เห็นว่า การสอนมุ่งเน้นการให้ ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน ทําให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วย ให้ผู้เรียนประสบความสําเร็จในการเรียน การเรียนการสอนโดยจัดสาระและวิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีทั้ง ทางด้านเนื้อหา ความรู้ และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ (academic learning) เป็น ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด ผู้เรียนมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่เรียนและช่วยให้ผู้เรียนถึง 30 ประสบความสําเร็จในการเรียน นอกจากนั้นยังพบว่า บรรยากาศการเรียนที่ไม่ปลอดภัยสําหรับผู้สามารถสกัดกั้นความสําเร็จของผู้เรียนได้ ดังนั้น ผู้สอนจึงจําเป็นต้องระมัดระวัง ไม่ทําให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากล่าวแสดงความไม่พอใจ หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน
การเรียนการสอนโดยตรง
การเรียนการสอนโดยตรง ประกอบด้วยขั้นตอนสําคัญๆ 5 ขั้นตอนดังนี้
 ขั้นที่ 1 ขั้นนํา
         1.1 ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน และระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ คาดหวังแก่ผู้เรียน
         1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนอย่างคร่าวๆ
         1.3 ผู้สอนชีแจงกระบวนการเรียนรู้ และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนแต่ละขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนําเสนอบทเรียน
         2.1 หากเป็นการนําเสนอเนื้อหาสาระ ข้อความรู้ หรือมโนทัศน์ ผู้สอนควรกลั่นกรองและสกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น และนําเสนออย่างชัดเจน พร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่างประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ ต่อไปจึงสรูปคํานิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
         2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ก่อนให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติ หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่ 3 ขั้นปฏิบัติตามแบบ (structured practice)
         ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ ให้การ เสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การกํากับของผู้ชี้แนะ (guided practice)
         ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆ ผู้สอนจะสามารถประเมินการ เรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสําเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียน และ ช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียน แก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ (independent practice)
         หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่ 4 ได้ถูกต้องประมาณ 85 - 90% แล้ว ผู้สอนควร ปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ เพื่อช่วยให้เกิดความชํานาญและการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่จําเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที สามารถให้ภายหลังได้ การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทําติดต่อกันในครั้งเดียว ควรมีการฝึกเป็นระยะๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนนานขึ้น
          ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
          การเรียนการสอนแบบนี้ เป็นไปตามลําดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้ง ทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาจํากัด ไม่สับสน ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามความสามารถของตนจนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ทําให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน และมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
          สรุป การสอนโดยตรงโดยทั่วไปมี 3 ขั้นตอน
1. การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน 
2. การนําเสนอข้อมูลใหม่ 
3. การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติ ให้ข้อมูลย้อนกลับ และการประยุกต์ใช้
ขั้นที่ 1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
         สร้างแรงจูงใจผู้เรียน ให้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ มีส่วนร่วมใน การเรียนรู้และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาระงานที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งงานเสร็จสิ้น
ขั้นที่ 2 การนําเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
         การอธิบาย พยายามใช้การปฏิสัมพันธ์และการป้อนคําถาม- ถามทีละขั้นตอน
การสาธิต การเรียนการสอนที่ซับซ้อน ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กําหนด ด้วยมีเครื่องมือจํากัด และคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน |
         ตํารา ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่า
         แบบฝึกหัดสําหรับผู้เรียน การฝึกเขียนการจัดระบบระเบียบและการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ
         โสตทัศนูปกรณ์ สร้างความน่าสนใจและแม่นยําในการนําเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
ขั้นที่ 3 การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติให้ข้อมูลย้อนกลับ และการประยุกต์ใช้
          สาระ เบื้องต้นคือ การยืนยันความถูกต้องเพื่อความแน่ใจและการให้แนวคิดและข้อเสนอแนะ ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะต้องทํางานเป็นรายบุคคลแม้ว่าการทํางานเป็นกลุ่มจะ เป็นที่ยอมรับก็ตามโอกาสที่ผู้เรียนจะได้รับได้แก่: การตอบคําถาม การแก้ปัญหา การสร้างโครงสร้าง ต้นแบบ วาดแผนภูมิ สาธิตทักษะ เป็นต้น

การเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
        การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Methods : CLM) มีพื้นฐานแนวคิดที่ว่า ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด ก็ต่อเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง จะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อน เพื่อนําไปสู่การสร้างองค์ความรู้ ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง การเรียนรู้จากวิธีการนี้ ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สํารวจถึง ความเป็นไปได้ คิดวิธีแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหา และท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เชื่อว่า ความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม
         การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ตามแนวคอนตรัคติวิสท์ (constructivism) ที่เปลี่ยนแนวคิดในการจัดการศึกษาตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งระบุจุดประสงค์ (Domains of objective) ระดับความรู้ (Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement) เป็นแนวคิดในการ จัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive theory) ที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง (Construct their own knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gagnon & Collay 2001:1) ที่เป็นผล มาจากประสบการณ์และระเบียบแบบแผนทางความคิดของผู้เรียนแต่ละคน การเรียนรู้ตามแนวคอนตรัคติ วิสท์ มุ่งเตรียมผู้เรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่คลุมเครือ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบคอนตรัคติวิสท์ สนใจศึกษากระบวนการเรียนรู้ด้วยการกระทําของตนเอง เมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งทางปัญญาขึ้น บุคคลจะใช้โครงสร้างทางปัญญา (cognitive structure) ที่มีอยู่เดิมทําปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อน ๆ ที่อยู่รอบข้าง ความขัดแย้งทางปัญญาจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการต่อไตร่ตรอง(reflection) อันเป็นกิจกรรมของ การตรวจสอบ และปรับเปลี่ยนสมมติฐานทางความคิดด้วยเหตุและผล ซึ่งนําไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่ ทางปัญญาต่อไป
การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
         การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist Methods : CLM) เชื่อว่า ความรู้นั้นเป็น เรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด เมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วย ตนเอง จะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อน เพื่อนําไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สํารวจถึงความเป็นไปได้ วิธีคิดแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหา และท้ายที่สุดคือเสนอวิธี แก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น
        ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสร้างความต่อเนื่องระหว่างข้อมูลสนเทศใหม่กับความรู้เดิม การเรียนรู้ เป็นผลของการผลิตหรือสร้างสรรค์ทางปัญญา มนุษย์จะเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด ถ้าหากได้ลงมือสร้าง ความหมายหรือความเข้าใจของตนด้วยตนเอง การเรียนรู้เกิดขึ้น เมื่อผู้เรียนสร้างโครงสร้างความรู้หรือความ เข้าใจอย่างแข็งขันและมีเจตนามุ่งมั่นชัดเจน โดยผู้เรียนจะสลายความขัดแย้ง (Conflict Resolution) หรือความ ไม่เข้ากันของแนวคิดหรือข้อมูลต่าง ๆ โดยการพินิจพิเคราะห์คําอธิบายหรือเหตุผลเชิงทฤษฎี มนุษย์สร้างโลก ทัศน์ของตนเองขึ้นจากประสบการณ์จริงในเวลานั้นและโครงสร้างความรู้เดิมที่ อยู่ในรูป Schema มนุษย์ใช้ Schema ในการตีความหรือสร้างความหมายให้กับประสบการณ์หรือข้อมูลใหม่ เมื่อมีการเรียนรู้เกิดขึ้น  จะมีการปรับ Schema ให้มีความครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการตีความที่สูงขึ้น
         ในเรื่องกระบวนการเรียนการสอนผู้เรียนมีความสําคัญในฐานะผู้ที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ ปรากฏการณ์ โดยการสังเกต การวัดหรือประมาณการ การตีความ หรือการกระทํา เพื่อให้เกิดความสร้างความคิดรวบยอดต่อสิ่งเหล่านั้น ผู้เรียนเป็นผู้สร้างแนวทางแก้ปัญหาของตนเอง ดังนั้น การ Constructivist จึง เห็นคุณค่าของความคิดริเริ่ม ความเป็นอิสระในความคิดของผู้เรียนและให้ความสําคัญและอิทธิพลของบริบทการ การเรียนรู้และภูมิหลังเกี่ยวกับความเชื่อและเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อการ เรียนรู้
          Murphy (1997: Online ; citing Glasersfield 1999) อธิบายสรุปได้ว่า บุคคลสร้างความรู้ โดยอาศัย การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและการสื่อสารในขณะที่ตนเองมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทําให้มีการ ปรับเปลี่ยนหรือจัดระบบประสบการณ์เดิมของตนเองใหม่ ดังนั้นความรู้จึงไม่สามารถถ่ายทอดจากบุคคล หนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ กลาเซอร์ฟิลด์ อธิบายการเรียนรู้ว่าไม่เกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนอง แต่การ เรียนรู้เกิดจากการกํากับตนเอง (self - regulation) และการสร้างมโนทัศน์จากการสะท้อนความคิดซึ่งกันและ
กัน
          เมอร์ฟี (Murphy 1997 :Online) รวบรวมแนวคิดของนักการศึกษาต่าง ๆ ในการจัดการเรียนการ สอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ สรุปได้ดังนี้
          1. กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้มุมมองที่หลากหลายในการนําเสนอความหมายของมโนทัศน์
          2. ผู้เรียนเป็นผู้กําหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมายการเรียนของตนเองหรือจุดมุ่งหมายของการ เรียนการสอนเกิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน
          3. ครูผู้สอนแสดงบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ ผู้กํากับ ผู้ฝึกฝน ผู้อํานวยความสะดวกในการเรียนของ ผู้เรียน
          4. จัดบริบทของการเรียน เช่น กิจกรรม โอกาส เครื่องมือ สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมวิธีการคิด และการกํากับและรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
          5. ผู้เรียนมีบทบาทสําคัญ ในการสร้างความรู้และกํากับการเรียนรู้ของตนเอง
          6. จัดสถานการณ์การเรียน สภาพแวดล้อม ทักษะ เนื้อหาและงานที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนตาม สภาพที่เป็นจริง
          7. ใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิเพื่อยืนยันสภาพการณ์ที่เป็นจริง
          8. ส่งเสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ด้วยการเจรจาต่อรองทางสังคมและการเรียนรู้ร่วมกัน
          9. พิจารณาความรู้เดิม ความเชื่อและทัศนคติของนักเรียนประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
         10. ส่งเสริมการแก้ปัญหา ทักษะการคิดระดับสูงและความเข้าใจเรื่องที่เรียนอย่างลึกซึ้ง
         11. นําความผิดพลาด ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
         12. ส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาความรู้อย่างอิสระ วางแผนและการดําเนินงานเพื่อให้บรรลุ เป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง
         13. ให้นักเรียนได้เรียนรู้งานที่ซับซ้อน ทักษะและความรู้ที่จําเป็นจากการลงมือปฏิบัติด้วย ตนเอง
         14. ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ของเรื่องที่เรียน
         15. อํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียนโดยให้คําแนะนําหรือให้ทํางานร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น
         16. วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริงขณะดําเนินกิจกรรมการเรียนการสอนจาก แนวคิดของนักการศึกษาดังกล่าว
          Gagnon & Collay (2001 :2) ได้เสนอแนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ (Constructivist learning design) ว่าประกอบด้วย 6 ส่วนที่สําคัญได้แก่ สถานการณ์ (Situation) การจัดกลุ่ม (Grouping) การเชื่อมโยง (Bridge) การซักถาม (Questions) การจัดแสดงผลงาน (Exhibit) และการสะท้อน ความรู้สึกในการปฏิบัติงาน (Reflection) โดยในการออกแบบครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ครูผู้สอนวางแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้และสะท้อนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน (Reflection about the process of student learning)กล่าวคือ ครูจะจัดสถานการณ์เพื่อให้นักเรียนอธิบายเลือกกระบวนการในการจัดกลุ่ม (Grouping) นักเรียนหรือสื่ออุปกรณ์ สําหรับใช้ในการอธิบายสถานการณ์พยายามสร้างความเชื่อมโยง (Bridge) ระหว่าง สิ่งที่เป็นความรู้เดิมของนักเรียนกับสิ่งที่นักเรียนต้องการจะเรียนรู้
สรุปคุณลักษณะของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ มีดังนี้
         1. ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
         2. การเรียนรู้สิ่งใหม่ขึ้นกับความรู้เดิมและความเข้าใจที่มีอยู่ในปัจจุบัน
         3. การมีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมมีความสําคัญต่อการเรียนรู้
         4. การจัดสิ่งแวดล้อม กิจกรรมที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี ความหมาย
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนั้นตัวทฤษฎีเองไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ จัดการเรียนการสอน ไม่มีลําดับขั้นการสอน Henrique (1997) ได้ศึกษาทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ และตีความ ทฤษฎีนี้ โดยพิจารณาจากมุมมองด้านปรัชญา ด้านจิตวิทยา ด้านญาณวิทยาและด้านการเรียนการสอนและ จําแนกทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ ได้ 4 แนวคิด ได้แก่
         1. แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์ แบบกระบวนการทางสมองในการประมวลผล (information processing approach) หรือแนวคิดแบบการประมวลผลข้อมูลนั้น ใช้พื้นฐานที่ว่านักเรียนเรียนรู้สิ่งที่เป็น ความจริง ไม่ว่าจะเรียนจากครูหรือการได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ โดยการประมวลผลข้อมูลนี้ใช้หลักว่า  มีความจริงที่เป็นกลางที่สามารถวัดและทําเป็นแบบได้ ตามหลักปรัชญาของพอสิทวิสต์ ( positivist philosophical tradition ) 
         2. แนวคิดอินเตอร์เอกทีฟคอนสตรัคติวิสท์ (interactive constructivist approach) แนวคิดแบบอินเทอแรกทิฟคอนสตรักติวิสต์ เป็นมุมมองที่ว่านักเรียนสร้างความรู้และเรียนรู้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่จับต้องได้และผู้คนรอบข้าง
         3. แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์เชิงสังคม (social constructivist approach) แนวคิดแมนา สตรักติวิสต์ แนวคิดนี้ใช้หลักการว่าความรู้เกิดขึ้นในระดับชุมชนเมือผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั้นมีปฏิสัมพัน
         4. แนวคิดเรดิคอลคอนสตรัคติวิสท์ (radical constructivist approach) แนวคิดแบบแรดิต้อง สดรักติวิสต์ แนวคิดนี้เชื่อว่าความคิดมาหมายหลากหลายล้วนแต่มีทางที่จะเป็นจริงได้ แนวคิดนี้จึงบอกร่ง มีความคิดใดเป็นจริงมากกว่ากัน
แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์ ทั้ง 4 แนวคิด มีข้อตกลงเบื้องต้นที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิส เหมือนกัน สรุปได้ 3ประการคือ
         1. การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของ ตน ไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้แทนกันได้
         2. ความรู้ ความเข้าใจและความเชื่อที่มีอยู่เดิมส่งผลต่อการเรียนรู้
         3. ความขัดแย้งทางความคิดเอื้ออํานวยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ เพื่อลดความขัดแย้งทางความคิด
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนทางด้านการศึกษา กล่าวคือ เปลี่ยนจากรูปแบบ การศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งเน้นในเรื่องเชาว์ปัญญา (Intelligence) จุดประสงค์ (Domains of objective) ระดับความรู้ (Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement) มาเป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive theory) ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการ เรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ (Constructivist learning) ที่มีความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถ ความรู้ของตนเอง (Construct their own knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gagnon 2001:1)
ข้อตกลงเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
         1. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ เมื่อทํากิจกรรมการเรียนรู้
         2. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือสร้างความหมาย เมื่อ กิจกรรม
         3. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสังคม เมื่อต้องการนําความหมายที่ตนเองสร้างขึ้นไปปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
การเรียนรู้แบบสร้างความรู้ด้วยตนเองสรุปได้ 3 ขั้น
         1. การทําความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
         2. การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
         3. การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
         ขั้นตอนที่ 1 การทําความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
          ผู้เรียนแต่ละคนต่างมีความคิดดั้งเดิมและมีความจําเป็นที่จะต้องเลือกหรือปรับเปลี่ยนมโน ทัศน์ (แนวคิดดังกล่าว ความคิดของผู้เรียนนั้นท้าทายความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง ชักชวนให้ผู้เรียนเปลี่ยน แนวคิดและยอมรับความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
          กลวิธีสําหรับขั้นตอนที่ 1
         สัมภาษณ์หรืออภิปรายกลุ่ม แบ่งกลุ่มข้อมูลหรือจําแนกข้อมูล แบ่งกลุ่มข้อมูล เรียงลําดับข้อมูลตามลักษณะบางประการ (เช่น มวลสาร) จําแนกข้อมูล จัดกลุ่มวัตถุโดยใช้ลักษะทางคุณภาพหรือปริมาณ (สี รูปร่าง ขนาค) แผนที่ความคิดหรือแผนผังมโนทัศน์ ระดมสมองที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก
เหตุการณ์ที่ขัดแย้ง เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล
          ขั้นตอนที่ 2 การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
         การวางแผนแบบร่วมกัน : การวางแผนเครื่องมือที่สร้างแรงจูงใจที่เข้มแข็ง ผู้เรียนได้รับ ข้อมูลว่าจะต้องเรียนรู้อะไรจากหัวข้อบ้าง อภิปรายเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ให้ขอบข่าย สาระสําคัญในเรื่องที่เรียนรู้
          กลวิธีสําหรับขั้นตอนที่ 2
         นักจัดการขั้นสูง (advance organizers) ข้อมูลใหม่เชื่อมโยงเข้ากับความรู้เก่าที่มีอยู่แล้ว ได้อย่างไร
อภิปัญญา (meta-cognition) ผู้เรียนกํากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้นําใน การเรียนรู้ด้วยตนเอง เทคนิควิทยาศาสตร์ (techno-sciencing) ใช้กิจกรรมเป็นฐานประกอบคําอธิบาย ตัดสินใจด้วยตนเอง ปรัชญาส่วนบุคคล การใช้ความคิดอุปมาอุปมัย ใช้แนวคิดที่คุ้นเคยนําแนวคิดแบบ อุปมาอุปมัยมาใช้
          ขั้นตอนที่ 3 การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
          ผู้ เรียนได้รับข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้ ความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นของคนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความรู้ถูกทําให้กระจ่างและยืนยันความถูกต้องเมื่อผู้เรียนนําความรู้ใหม่ไป ประยุกต์ใช้กัน สถานการณ์ความรู้ได้รับจะถูกปรับแต่งตามข้อมูลย้อนกลับที่ได้รับ
          กลวิธีสําหรับขั้นตอนที่ 3
          • การเรียนรู้แบบร่วมมือ สร้างความเข้าใจและแสดงออกในรูปการใช้โมเดล
ช่วยในการสร้างความเข้าใจ และยังสาธิตมโนทัศน์ของความเข้าใจหลักการและกระบวนการที่เป็นเลิศเทคนิคที่ใช้ในการแสวงหาความรู้และการยืนยันความถูกต้องของความรู้ 
          • การทดลอง การออกแบบและเทคโนโลยี ใช้สืบเสาะหาความรู้เป็นฐาน 
          • วิธีการแบบบูรณาการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อ คําถามและแนวคิดอื่นๆ 
          • สาขาวิชา (แนวคิดหลัก) การประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง ช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงสอดคล้องทฤษฎีและการปฏิบัติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วัดประเมินผล